top of page

JAPAN TRIP (BACKPACK) | DAY 3

แบ็กแพ็คเที่ยวเจแปนใสๆ ไม่ง้อทัวร์ วันที่ 3 วันเซนโซจิ ชิมซาลาเปาทอด ก่อนแวะตึกม่วงซื้อของฝาก


สวัสดีค่าาา วันนี้มาต่อวันที่ 3 ของทริปนี้กันค่ะ


เป้าหมายหลักของวันนี้คือไปวัดอาซากุสะ เช่าชุดยูคาตะ ซื้อของฝากที่ตึกทาเคยะ หรือที่เป็นที่รู้จักในไทยว่าตึกม่วง แล้วกลับไปเก็บตกที่ฮาราจูกุกับชิบูย่าที่ค้างจากวันที่ 2


เนื่องจากวันที่ 2 เราจัดหนักกันไปหน่อย แรดไม่ดูเวล่ำเวลาบวกกับหลงสถานีรถไฟตอนกลับ ทำให้กลับถึงโรงแรม 5 ทุ่ม วันที่ 3 ก็เลยตื่นสายอีก ประมาณ 10 โมงกว่าๆ กว่าจะอาบน้ำแต่งหน้าแต่งตัวกันเสร็จก็ปาไปเกือบเที่ยงแล้ว วันนี้แต่งหน้าจัดเต็มเป็นพิเศษเพราะตั้งใจจะไปเช่าชุดยูคาตะ ไม่ได้ม้วนผมไปกันเพราะกะว่าให้เค้าทำผมให้ ติดขนตาปลอมที่ซื้อมาเมื่อวันที่ 2 ด้วย 55555


- - - - - - - - - - -


เริ่มออกเดินทางจากสถานีรถไฟฟ้า Totsuya-Sanchome ใกล้ๆโรงแรม ไปลงที่อาซากุสะราคาตั๋ว 240 เยน สิ่งที่พลาดอย่างแรกเลยในการมาวัดเซนโซจิวันนี้คือ มันเป็นวันอาทิตย์ค่ะ นั่นทำให้คนเยอะมาก แน่นไปหมด มาถึงก็เริ่มหิวแล้วเลยหาอะไรกินกันก่อน มาลงเอยที่ราเม็งเหมือนเดิมเพราะอยากชิมให้แน่ใจว่าราเม็งที่ญี่ปุ่นเค็มทุกร้านรึเปล่า กินที่ร้านใกล้ๆ ระหว่างทางออกสถานีกับตัววัดเลยค่ะ


วันนี้สั่งเป็นมิโซะราเม็งค่ะ หน้าตาคล้ายๆฮาจิบังราเม็งบ้านเรา แต่รสชาติแตกต่างกันพอสมควร ของร้านนี้หมูจะนุ่มๆ หน่อไม้จะชิ้นใหญ่กว่าที่กินในไทยแต่รสไม่จัดเท่า สาหร่ายอร่อย > < แต่เรื่องความเค็มนี่ต้องยอมให้เค้าเลย เค็มทุกเจ้าจริงๆ 55555 แต่ถือว่าราคาไม่แพงเลยคิดสำหรับเมนูนี้ 390 เยนพร้อมน้ำดื่มฟรี ให้ 7/10


หลังจากได้อยู่ได้กินมา 3 วันก็เริ่มสัมผัสได้ว่าน้ำดื่มในร้านอาหารไม่ว่าจะน้ำเปล่าหรือน้ำชามักจะให้มาฟรี เติมได้เรื่อยๆแบบบริการตัวเอง ซึ่งถือว่าดี เราชอบ 5555


มิโซะราเม็งแถววัดอาซากุสะ ราคา 390 เยน



หลังจากกินราเม็งเติมพลังกันแล้วก็ลุยต่อกันเลย ตอนแรกตั้งใจว่าจะไปเช่าชุดยูคาตะกันก่อนแต่ก็หาร้านไม่เจอ ในไกด์บุ๊คไม่ด้บอกอย่างละเอียดไว้ว่าร้านอยู่ตำแหน่งไหน ก็เลยกะว่าเข้าาไปเดินเล่นในวัดกันก่อน ทางวัดเซนโซจิหาได้ง่ายมาก เพราะจะเป็นซุ้มใหญ่ มีโคมไฟสีแดงสูงเห็นได้ชัดเจน ด้านใต้โคมแดงนี้จะมีรูปแกะสลักไม้เป็นรูปมังกร เห็นคนที่เดินเข้าวัดเค้ามาลูบๆ คลำๆ รูปแกะสลักนี้แล้วเอาไปแตะๆที่ตัว คิดว่าน่าจะเป็นความเชื่อของชาวญี่ปุ่นค่ะ อันนี้ไม่ทราบจริงๆ


ซุ้มประตูทางเข้าวัดเซนโซจิ


ด้านใต้โคมแดงเป็นไม้แกะสลักรูปมังกร



พอเดินผ่านซุ้มเข้ามาจะถึงถนนนากามิเซะ ระหว่างทางก็จะมีซุ้มร้านขายของเรียงรายกันอย่างเป็นระเบียบ ส่วนใหญ่จะเป็นของกินและของที่ระลึก เรา 2 คนพากันเดิมดุ่มๆๆ สำรวจร้านค้านิดหน่อย แล้วก็เข้าวัดกันก่อน เดี๋ยวค่อยออกมาหาชิมของกินทีหลัง พอมาถึงทางเข้าวัดจะเจอซุ้มประตูอีกซุ้ม ด้านหน้ามีโคมไฟสีแดงเหมือนกัน


พอเข้ามาด้านในวัดเราจะเจอที่สำหรับซื้อธูป เสร็จแล้วก็มาจุดที่กระถางจุดธูปไหว้พระค่ะ ตรงนี้คนญี่ปุ่นมีความเชื่อว่าถ้ากวักควันธุปเข้าหาตัวก็จะนำพาสิ่งดีๆเข้ามาสู่ตัวเราค่ะ ถ้าเกิดอยากให้เงินทองไหลมาเทมาก็ให้กวักควันธูปเข้ากระเป๋าตังค์ แพร์ก็เล่นควักกระเป๋าตังมา กวักควันเข้าทีละช่องๆ ล่อเอาครบทุกช่องเลยมั้งน่ะ 55555 เสร็จแล้วก็ไปไหว้พระขอพร จะมีอีกจุดหนุ่งเป็นศาลาสำหรับขอพรซึ่งต้องโยนเหรียญค่ะ ในจุดนี้ตอนแรกตั้งใจว่าจะเอาเหรียญ 5 เยนมาขอพร แต่พอมาถึง คนเข้าแถวยาวเหยียดมากๆลงมาเกินขั้นบันไดขึ้นศาลาเลย ด้วยความร้อนและเหนื่อยสะสมมาจาก 2 วันก่อนทำให้ไม่อยากยืนรอตรงนี้นานๆค่ะ เลยตัดสินใจไม่ขอพร หาที่ร่มๆ นั่งพักแทน แล้วก็นั่งคุยกันเรื่องชุดยูคาตะว่าจะเอายังไงดี จะยังยืมมาใส่อยู่มั้ย ได้ข้อสรุปว่าไม่แล้ว เพราะตอนแรกตั้งใจว่าจะใส่มาเดินเล่นในวัดกัน ร้านก็ยังไม่รู้อยู่ตรงไหน ถ้ายืมใส่ออกไปซื้อของฝากก็คงจะไม่ถนัด เลยต้องเก็บไว้โอกาสหน้า แอบเซ็งนิดหน้อยเพราะแต่งหน้ามาจักเต็มมากแถมไม่ได้ม้วนผมมา 5555 ดึงขนตาปลอมออกทันทีที่คิดว่าจะไม่ไปร้านเช่าชุด


สองสาวขอแชะรูปก่อนเข้าวัดแป๊บ



หลังจากที่ไหว้พระขอพร นั่งพักผ่อนกันจนพอใจแล้วก็ออกมาตามล่าหาของกินกัน เป้าหมายหลักที่ตั้งกันไว้คือเมล่อนปังและซาลาเปาทอดชื่อดัง แต่ร้านเมล่อนปังนี่ไม่รู้ทำไมหาไม่เจอ เลยได้แต่ชิมซาลาเปาทอด มีให้เลือกหลายไส้มาก ที่เรากับแพร์เลือกมาเป็นไส้ชาเขียวกับออริจินอล(ถั่วแดง) ราคาไม่แน่ใจค่ะ น่าจะอยู่ที่ประมาณ 100-150 เยนไม่เกินนี้


สำหรับติ๊ดที่กินไส้ชาเขียว รู้สึกว่าแป้งมันเหนียวประหลาดๆไปนิดนึง ทอดค่อนข้างอมน้ำมันและไม่กรอบมาก (หรือว่าทอดไว้นานแล้วอันนี้ไม่แน่ใจค่ะ) ไส้รสชาติใช้ได้เลย แต่ติดที่ว่าด้านในมันเป็นเหมือนเนื้อถั่วแดงบดผสมชาเขียว ส่วนตัวติ๊ดชอบชาเชียวมาก แต่ไม่ชอบถั่วแดงเลย ตรงนี้ก็เลยถือว่ายังไม่ค่อยว้าวสำหรับเราเท่าไหร่ แต่ถือว่าใช้ได้ค่ะ ที่จริงมันมีไส้คัสตาร์ดด้วยแต่ไม่ได้ซื้อมาลองชิม ไม่แน่ว่าไส้นั้นและไส้อื่นๆ ที่มีอาจจะอร่อย แต่สำหรับไส้ชาเขียวนี้ให้ 5/10 ค่ะ


สองสาวกับซาลาเปาทอดเจ้าดัง

ซาลาเปาทอดไส้ชาเขียว



พอกินซาลาเปาทอดเสร็จแล้ว ติ๊ดก็ขอจัดซอฟต์ครีมซะหน่อย (แอบเล็งมาตั้งแต่ตอนเดินเข้าวัด 5555) ส่วนแพร์ไม่ไหวแล้วเพราะไม่ค่อยชอบกินขนม (ตรงข้ามกับเราอย่างสิ้นเชิง 5555555555) ซอฟต์ครีมร้านที่ซื้อไม่มีรสชาติให้เลือกค่ะ มีแต่แบบสีม่วง ไม่แน่ใจว่าเป็นรสวนิลาใส่สีเฉยๆหรือเป็นรสเผือก แต่รสชาติหวานมันอร่อยดีค่ะ โคนเป็นวาฟเฟิลกรุบกรอบ ซื้อมาในราคา 350 เยน หน้าตาน่ารักใช้ได้ รสชาติโอเค แต่เยอะไปนิดและต้องยืนกิน และต้องกินให้ไว(ปกติเป็นคนกินช้า)เพราะยังมีที่ต้องไปต่ออีกเยอะ สร้างความกดดันให้กับเราเป็นอย่างมาก 555555 สรุปแล้วให้คะแนน 8/10 ค่ะ


สาวญี่ปุ่น(เหรอ!?! 55555) กับซอฟต์ครีมสีม่วง คาวาอี้สุดๆ



*** ตั้งแต่ส่วนนี้เป็นต้นไปจะไม่ค่อยมีรูปแล้วค่ะ เนื่องจากหงุดหงิดกับของฝากไม่มีอารมณ์ถ่ายรูปกัน 55555 ต้องขออนุญาติยืมรูปจากเว็บไซต์อื่นๆ ด้วยในบางส่วนค่ะ ***


เสร็จภารกิจที่วัดอาซากุสะกันแล้วภารกิจต่อไปคือการซื้อของฝากที่ตึกทาเคยะหรือตึกม่วง โดยนั่งรถไฟฟ้าไปลงสถานะอุเอโนะ เดินออกมาประมาณนึงก็จะเจอตึกสีม่วงยืนเด่นเป็นสง่าอยู่ค่ะ


ในส่วนของตึกม่วงจะมีแบ่งเป็นหลายตึกมากๆ ตามประเภทของสินค้า เช่น ตึกขายของฝากพวกขนม ของกิน ตึกของใช้สุภาพบุรุษ และตึกของใช้สุภาพสตรี มีการแบ่งสินค้าแต่ละหมวดหมู่ตามชั้นต่างๆ อย่างชัดเจน เช่น ชั้นเครื่องสำอาง ยาและวิตามิน เสื้อผ้า กระเป๋าและนาฬิกา เป้าหมายหลักๆของเราสองคนสำหรับตึกม่วงนี้เน้นของฝากเป็นหลักค่ะ เพื่อนติ๊ดกับแพร์ส่วนใหญ่ก็จะเน้นฝากซื้อพวกเครื่องสำอาง สกินแคร์ หนักไปทางมาส์กหน้า


ตึกม่วงหน้าตาประมาณนี้ ขอบคุณรูปจาก www.chillinjapan.com ค่ะ



ร้านนี้สามารถทำ tax refund ได้เหมือนกันค่ะถ้าซื้อตั้งแต่ 5000 เยนขึ้นไปถ้าจะไม่ผิดนะ คนละบิลรวมกันได้ แต่ต้องเป็นบิลจากภายในตึกเดียวกันเท่านั้น (เช่นถ้าจะทำตึกหญิง ไม่สามารถรวมบิลกับตึกชายเพื่อทำ tax refund ได้)


พอเรามาถึงกันก็เริ่มที่ตึกผู้หญิงก่อนเลย ดูพวกเครื่องสำอางและสกินแคร์ ที่เพื่อนติ๊ดฝากซื้อเป็นมาส์กของ Kose กับที่เช็ดเครื่องสำอาง Bifesta ของแพร์รู้สึกจะเยอะหน่อยเลยใช้เวลาตรงนี้พอสมควร เสร็จแล้วก็เดินมาที่ตึกขายขนม ของกิน มีของกินขายหลายรูปแบบมาก นี่ก็แบบเจออะไรก็หยิบใส่ๆตะกร้าเลย 5555 เห็นอะไรที่หน้าตาแปลกๆไม่มีในไทยก็หยิบๆ มา มีชาเขียวผงจากญี่ปุ่นติดมาถุงนึง ทาโร่ชีส ช็อกโกแลตไส้กล้วย อะไรประมาณนี้ แต่ก็รู้สึกว่าหยิบไม่ค่อยสะใจเพราะกลัวน้ำหนักเกิน


ตอนซื้อของออกอาการหงุดหงิดกันนิดหน่อย เพราะโดนสปอยมาพอสมควรทำให้กลัวเรื่องน้ำหนักของเกิน(มากเกินไป) ใครคิดว่าการช็อปปิ้งเป็นเรื่องสนุก สำหรับเราสองคนแล้วไม่เลยค่ะ เพราะต้องมาตามหาสินค้าที่มีคนฝากซื้อไว้ ไม่กล้าซื้อเยอะเพราะกลัวน้ำหนักเกิน เช็คราคากับร้านอื่นๆที่ผ่านมาว่าร้านไหนถูกกว่า แถมตอนซื้อของเสร็จนี่แบบหนักมาก


หลังจากซื้อของกันเสร็จอาการเหนื่อยสะสมจากสองวันแรกก็เริ่มออกค่ะ ปวกเมื่อยไปทั้งตัว เลยออกความเห็นว่าเรากลับไปเก็บของที่โรงแรมกันเลยดีกว่า นั่งพักที่ห้องซักพักค่อยออกมาเก็บตกชิบูย่ากับฮาราจูกุ แพร์ก็ตกลงตามนี้ เลยพากันหอบของฝากถุงโตนั่งรถไฟฟ้ากลับโรงแรม




กลับมาถึงโรงแรมก็มาขอตาชั่งกับเจ้าหน้าที่โรงแรมเพื่อชั่งน้ำหนักบรรดาของที่ซื้อมา จุดนี้เจ้าหน้าที่โรงแรมแอบทำหน้าสตั๊นพอเราขอตาชั่ง 55555 สรุปแล้วไอที่กลัวๆกันนี่สบายใจเลย เพราะเราเอาของโหลดไปทั้งหมดแค่ 7 กิโล (เหลืออีก 13 กิโลที่ซื้อได้) แต่ซื้อมาแค่ 2-3 โลเอง จะกลับไปซื้ออีกก็ไม่ไหวละ เพลีย ของแพร์ก็น้ำหนักไม่ต่างกัน พอชั่งเสร็จก็เอาของมาเก็บบนห้อง นั่งพักกันนิดหน่อย วางแผนเก็บตกของวันที่สองและตกลงเวลาที่จะใช้ในแต่ละชุดของฮาราจูกุและชิบูย่า เพื่อไม่ให้กลับดึกมากเหมือนวันที่สอง กลัววันสุดท้ายไปเดินอากิฮาบาระเพลิน แล้วกลับสนามบินไม่ทัน ตกเครื่อง อะไรงี้


สิ่งที่เราจะไปเก็บตกที่ฮาราจูกุและชิบูย่าก็คือ ไปซื้อเครื่องสำอางให้แม่ๆ ของพวกเราที่ร้านมัตสึโมโต้ ชิมเครปร้าน Angels Heart ที่วันก่อนไปกินผิดร้าน ซื้อทาร์ตชีสร้าน Pablo สุดฮิตแถวชิบูย่า ที่วันที่ 2 พอไปถึงร้านปิดซะก่อน ซื้อฟิล์มกล้องโพลารอยด์ที่เพื่อนเราฝากซื้อที่ร้าน Big Camera ในร้านชิบูย่า โดยตกลงกันว่าจะใช้เวลาในแต่ละร้านไม่เกินครึ่งชั่วโมง พอตกลงกันเรียบร้อยแล้วก็ออกเดินทางกันเลยยยย




เริ่มจากนั่งรถไฟฟ้ามาลงสถานีฮาราจูกุ เราเดินตรงดิ่งไปที่ร้านเครป Angels Heart ทันที ครั้งนี้สั่งเป็น Fresh Blueberry Cheesecake ราคา 560 เยน ส่วนของแพร์สั่งเป็นสตรอเบอร์รี่บานาน่าเหมือนเมื่อวาน หลังจากซื้อเครปเสร็จก็นั่งกินตรงเก้าอี้ข้างๆร้าน ยิ้มกรุ้มกริ่มเล็กน้อยที่สามารถแก้แค้น(ตัวเอง)ได้สำเร็จ 555555 แต่พอกินเข้าไปก็แอบรู้สึกผิดหวังนิดหน่อย เพราะตัวแป้งของร้านต้นตำรับนี้ ถึงจะนุ่มแต่หนามากกกกก ตัวครีมก็ไม่หวานอร่อยเหมือนของร้าน Angels Crepe แต่สิ่งที่ชอบคือไส้ค่ะ ไส้ชีสเค้กของร้านนี้คือเป็นชีสเค้กจริงๆ ไม่เป็นเยลลี่เด้งๆ ดูปลอมๆ เหมือนร้าน Angels Crepe และบลูเบอร์รี่ที่ได้คือเฟรชมากตามชื่อเค้าเลย ได้บลูเบอร์นี่เยอะมากแล้วก็สดมากๆ กินแล้วรู้สึกสดชื่นดี ของแพร์สั่งมาเป็นสตรอเบอร์รี่บานาน่าเหมือนกับที่สั่งร้านที่แล้ว ก็ให้ความเห็นเหมือนกันว่าแป้งเหนียว ครีมไม่หวานนุ่ม แถมแพร์บอกว่าไส้กล้วยของร้านที่ไปกินผิดเมื่อวานอร่อยกว่า ส่วนสตรอเบอร์รี่สดใช้ได้ กินแล้วสดชื่นดี


สรุปแล้วเครปร้าน Angels Heart นี้เหมาะสำหรับคนที่ชอบไส้คุณภาพดี และไม่ชอบครีมที่มีรสหวาน แต่ถ้าใครชอบครีมหวานๆ แป้งไม่หนามากแนะนำให้ลองของ Angels Crepe ดูค่ะ จริงๆร้านเครปในฮาราจูกุมีเกือบ 10 ร้านได้ กะว่าถ้าได้ไปครั้งหน้าจะลองของร้านอื่นๆดูด้วย

สำหรับเครปร้าน Angels Heart ร้านเครปเจ้าแรกของฮาราจูกุ ให้ 8/10 หักคะแนนที่แป้งเหนียวและหนา



Fresh Blueberry Cheese Cake ร้าน Angels Heart ราคา 560 เยน


Strawberry Banana ของแพร์ น่าจะประมาณ 580 เยน ไม่แน่ใจ


แถม !! สาวขายเครป คาวาอี้งะะะะ <3



พอกินเครปเจ้าแรกจนพอใจก็ไปแวะซื้อของฝาก พวกมาส์ก สกินแคร์ ซื้อแป้งพัฟให้แม่ที่มัตสิโมโต้กันก่อนจะเดินไปชิบูย่าต่อ ระหว่างทางก็เดินดูรองเท้าดูเสื้อผ้าไปพลางๆ ไปเจอรองเท้าคู่นึงที่ ABC mart ถูกใจมากก แต่ดันไม่มีไซส์ นี่ก็งอแงจะเอาแพร์เลยต้องพาไปเดินหาที่สาขาชิบูย่า สรุปก็ไม่เจอ เลยอดไปตามระเบียบ 55555 เรากินเครปกันเสร็จประมาณ 6 โมงครึ่ง พอไปถึงชิบูย่าก็ทุ่มกว่าแล้ว กว่าจะหาร้านรองเท้าเสร็จก็ทุ่มครึ่ง ระหว่างกำลังจะเดินไปซื้อทาร์ตชีสเจอร้านขายซีดีเพลงร้านใหญ่ จำชื่อร้านไม่ได้แฮะ เนื่องจากแพร์เป็นติ่งเกิร์ลเจนก็เลยแวะซื้อซ๊ดีอัลบั้มใหม่ซะหน่อย ซื้อเสร็จได้โปสเตอร์มาเป็นของแถมทำเอายิ้มน้อยยิ้มใหญ่ 55555


พอซื้อซีดีเพลงกันเสร็จเราก็ไปซื้อฟิล์มกล้องโพลารอยด์ให้เพื่อน ซื้อแบบ 10 x 2 มา 2 กล่องราคา 2786 เยน ซึ่งถือว่าถูกกว่าที่ไทยหลายขุมมาก แอบไปดูราคากล้องฟูจิ X-A2 มา ราคาถูกกว่าไทยประมาณ 3-4 พันบาทได้ แต่ก็ไม่แน่ใจเรื่องประกันหรือว่าภาษาในเครื่องด้วย (ยังไงก็ไม่มีตังอยู่ดี เพราะฉะนั้นชั่งมัน เก็บตังซื้อได้ค่อยว่ากัน 5555)


ซื้อฟิล์มกล้องเรียบร้อยก็ได้เวลาตามหาทาร์ตชีสอันเลื่องลือของเราแล้ว ตอนไปซื้อประมาณ 2 ทุ่มแล้ว มีคนต่อคิวอยู่พอสมควร ประมาณ 7-8 คน เราเลือกไส้มาเป็นแบบ Medium ไม่เอา เยิ้มมาก กลัว 5555 ตอนแรกว่าจะชิมกันเลย แต่เนื่องจากชิ้นมันใหญ่มาก เรายังไม่ได้กินข้าวเย็นกัน แถมในกล่องไม่มีช้อนมาให้ด้วย ก็เลยกะเอาไว้กินเช้าวันต่อไป


ทาร์ตร้าน Pablo ยังไม่ได้แกะกินเอากล่องไปดูต่างหน้าก่อนละกัน



พอซื้อทาร์ตสมใจแล้วก็นั่งรถไฟฟ้ากลับโรงแรม มาเจอเรื่องไม่ประทับใจอีกอย่างนึง คือ พอเรากลับมาถึงสถานี Yotsuya-Sanchome แล้วก็หาร้านอาหารใกล้ๆ โรงแรมกิน ร้านส่วนมากจะไม่มีเมนูภาษาอังกฤษ พวกเราก็ไม่อยากเสี่ยงกันเพราะเราไม่เกินเนื้อกันทั้งคู่ แถมติ๊ดแพ้อาหารทะเลไม่กล้าสุ่มจิ้มๆเอา เดินหาอยู่ประมาณเกือบครึ่งชั่วโมงก็เจอร้านนึงบอกมีเมนูภาษาอังกฤษเลยรีบเข้าไปกัน พอเข้าไปนั่งในร้าน หยิบเมนูมากูก็แบบอ้าว มีแต่ภาษาญี่ปุ่นนี่นา เลยเรียกพนักงานขอเมนูภาษาอังกฤษเพระาคิดว่าคงมีเล่มแยก สรุปพนักงานก็บอกว่าไม่มีแบบหน้าตาเฉย นี่ก็งงเลย แอบโกรธนิดนึง โดนคนญี่ปุ่นหลอกจนได้ แต่ก็แบบชั่งมันเถอะ ก็จิ้มๆรูปเอาเหมือนเดิม ถามพนักงานเอาว่าเป็นเนื้อรึเปล่า


นอกจากจะโดนหลอกเรื่องเมนูแล้ว พอสั่งอาหารเสร็จ โต๊ะที่นั่งอยู่ใกล้ๆ มากินกันเป็นครอบครัวประมาณ 6-7 คนก็คุยกันเสียงดังมากกกก คืนแรกที่กินราเม็งก็เจอโต๊ะนึงคุยกันเสียงดัง เสียงดังแบบ ดังยิ่งกว่าคนไทยเวลาคุยกันในร้านอาหารเยอะ ซักพักได้กลิ่นบุหรี่ ควันโขมงทั่วร้านเลย สูบทั้งผู้ชายผู้หญิง จนเราคิดว่าจะบอกพนักงานดีมั้ยว่ากลิ่นมันรบกวน หันไปมองป้ายในร้าน เจอป้ายบอกห้ามสูบบุหรี่ก่อน 5 โมงเย็น (ตอนที่ไปนั่งกินกัน 3 ทุ่มกว่าแล้ว แสดงว่าสูบได้) คิดว่าคงเป็นเรื่องปกติของคนที่นี่ แต่เรากับแพร์รู้สึกไม่โอเคเลย โดยเฉพาะติ๊ดเองเป็นคนไม่ชอบเสียงดัง ชอบอยู่เงียบๆ และเราสองคนไม่ชอบกลิ่นบุหรี่มากๆ เลย เรียกว่าเป็นหนึ่งในสิ่งที่เราไม่ชอบเลยในญี่ปุ่น อาหารก็มาช้ามาก แถมพอมาถึงรสชาติไม่อร่อยด้วยเลยไม่ได้ถ่ายรูปเก็บไว้ สรุปแล้วร้านนี้ไม่โอเคเลย เสียดายที่จำชื่อร้านไม่ได้



- - - - - - - - - - -



สรุปแล้ววันที่ 3 นี้เราสนุกกันแค่ตอนเช้าที่ไปวัด แล้วก็ตอนไปเก็บตกที่ชิบูย่า - ฮาราจูกุเท่านั้น การช็อปปิ้งหรือว่าซื้อของฝากไม่ใช่เรื่องสนุกเลยสำหรับเราสองคน เพราะต้องตามหาของที่คนฝากต้องการ แถมยังต้องแบกของหนักๆ กลับโรงแรมด้วย


ก็เป็นอันจบทริปของวันนี้ค่ะ หวังว่าทุกคนจะสนุกไปกับเรานะคะ สำหรับทริปวันสุดท้ายของติ๊ดและแพร์ เราจะไปบุกร้านเซ็กส์ทอยย่านอากิฮาบาระ ต่อด้วยซื้อของฝากเพิ่มเติมที่ตึกดองกี้ ก่อนจะเดินทางกลับไทยค่ะ


เดี๋ยวจบจากทุกบล็อกแล้ว จะมีบล็อกสรุปค่าใช้จ่ายที่จำเป็นในญี่ปุ่นให้ และรีวิวของใช้ที่ติ๊ดซื้อมาจากญี่ปุ่น รอติดตามกันนะคะ สามารถวิจารณ์ติชมบล็อกได้นะคะ แล้วพบกันใหม่ในบล็อกหน้าค่ะ ^u^

FOLLOW ME
  • Black Facebook Icon
  • Black Twitter Icon
  • Black Pinterest Icon
  • Black Instagram Icon
SEARCH BY TAGS
FEATURED POSTS
Check back soon
Once posts are published, you’ll see them here.
INSTAGRAM
ARCHIVE
bottom of page